กองทัพเรือจัดงานวันรำลึกเหตุการณ์ ร.ศ.112 ประจำปี 2566
วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 เวลา 18.30 น. พลเรือเอก เชิงชายชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ
เป็นประธานในการจัดงานรำลึกวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ประจำปี 2566 ณป้อมพระจุลจอมเกล้า ตำบลแหลมฟ้าผ่า
อำเภอพระสมุทรเจดีย์จังหวัดสมุทรปราการประกอบด้วย พิธีเชิญธงชาติพิธีกล่าวรำลึก 130 ปี วิกฤตการณ์ ร.ศ.112
จากนั้น วงดุริยางค์ราชนาวีบรรเลงและขับร้องเพลง "ตื่นเถิดไทย"โดยผู้ร่วมกิจกรรมร่วมร้องเพลงและการยิงพลุ
จำนวน 130 นัด วงดุริยางค์ราชนาวีบรรเลงเพลง "ตื่นเถิดไทย" ประกอบ
การยิงพลุนอกจากนั้นยังมีการแสดงดนตรีจากวงดุริยางค์ราชนาวี โดยรับเกียรติจากศิลปินรับเชิญ
อาทิคุณนันทิดาแก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการและ คุณกิตตินันท์ ชินสำราญ (ครูกิต The Voice)
อนึ่งเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่ม ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พิธีวางพวงมาลาบริเวณด้านบนปืนเสือหมอบ พิธียิงปืนเสือหมอบ
พิธีสดุดีวีรชนในเหตุการณ์ ร.ศ.112 พิธีสงฆ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้วีรชนในเหตุการณ์ ร.ศ.112
วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่คนไทยพึงเรียนรู้ เพื่อเตือนใจลูกหลานไทยตระหนักว่าครั้งหนึ่งผืนแผ่นดินไทย
ได้ประสบกับภัยสงคราม นับตั้งแต่รัชกาลที่ 4 จวบจนต้นรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยต้องประสบกับภัยคุกคามจากชาติมหาอำนาจตะวันตก
เป็นเวลาหลายสิบปี โดยเฉพาะกับประเทศฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี จึงทรงเร่งรัดให้เตรียมการรักษาพระนครอย่างเร่งด่วน เช่น การสร้างป้อมที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า
เพื่อเป็นด่านแรกที่จะยับยั้งข้าศึกที่จะเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งนี้พระองค์ได้พระราชทานเงินจำนวน 10,000 ชั่ง
(800,000 บาท) สำหรับสร้างป้อมแห่งใหม่ ต่อมาป้อมปืนแห่งใหม่ของสยามได้สร้างเรียบร้อยในต้นปี พ.ศ.2436 (ร.ศ.112)
พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือพระที่นั่งมหาจักรี เพื่อทอดพระเนตรป้อม ในวันที่ 10 เมษายน 2436
และได้ทรงพระราชทานนามป้อมปืนแห่งนี้ว่า “ป้อมพระจุลจอมเกล้า” ปืนดังกล่าวนี้ คราวจะยิงต้องใช้แรงน้ำมันอัดยกปืนให้โผล่พื้นหลุม
และเมื่อยิงกระสุนพ้นลำกล้อง ปืนจะลดตัวลงมาอยู่ในหลุมตามเดิม คนไทยจึงเรียกว่า
“ปืนเสือหมอบ” หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็เป็นไปดังที่พระองค์ทรงคาดไว้ทุกประการ กล่าวคือ เมื่อไทยไม่ยอมยกดินแดนฝั่งซ้ายของ
แม่น้ำโขง ตามที่ฝรั่งเศสเรียกร้อง ในวันที่ 13 กรกฎาคม ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสจึงนำเรือรบสองลำ ชื่อเรือโกแมต และเรือแองคองสตังค์
มุ่งหน้าเข้ามาที่กรุงเทพพระมหานคร ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการต่อสู้ระหว่างไทยและฝรั่งเศสที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา
แต่ด้วยกำลังแสนยานุภาพของสองประเทศที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้เรือรบฝรั่งเศสทั้ง 2 ลำ คือเรือโกแมต
และเรือแองคองสตังค์สามารถผ่านป้อมผีเสื้อสมุทรเข้ามาได้จนถึงกรุงเทพฯ จอดเทียบท่าอยู่หน้าสถานกงสุลฝรั่งเศส
แม้ว่าฝ่ายไทยจะด้อยแสนยานุภาพกว่าฝรั่งเศสด้วยประการทั้งปวง ทว่าจิตใจและความหาญกล้าของทหารไทยนั้น
มิได้ย่นย่อเกรงกลัวข้าศึกแต่ประการใด วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ครั้งนั้น ได้นำมาสู่สถานการณ์ที่ฝรั่งเศสเรียกร้องผลประโยชน์
และการครอบครองดินแดนไทยยืดเยื้ออยู่นานกว่า 10 ปี ไทยต้องยอมสูญเสียดินแดนเป็นจำนวน ถึง 1 ใน 3
ของพื้นที่ทั้งหมดให้ฝรั่งเศส เพื่อรักษาผืนแผ่นดินส่วนใหญ่ และเอกราชไว้ ในปัจจุบัน ป้อมพระจุลจอมเกล้า
ได้เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงวีรชนผู้ที่เสียสละชีพในเหตุการณ์ ร.ศ. 112 และเป็นสถานที่สำหรับศึกษาด้านประวัติศาสตร์
เช่น พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพิพิธภัณฑ์ป้อมพระจุลจอมเกล้า ป้อมปืนเสือหมอบ
พิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง ลานจัดแสดงอาวุธกลางแจ้ง และ เส้นทางชมป่าชายเลนอันร่มรื่นและแวดล้อมด้วยสัตว์ประจำถิ่นนานาชนิด
#130ปีรำลึกวิกฤตการณ์รัตนโกสินทรศก112